่
ยามเมื่อพายุลูกใหญ่โหมกระหน่ำพัดผ่านมา
ย่อมต้องยุติความเกรี้ยวกราดลงแล้วมลายหายกลายเป็นสายลมแผ่วเบา
ยามหมู่เมฆหมอกควันดำทึบทะมึนแผ่เข้าปกคลุมทั่วนภา
ย่อมต้องถึงคราท้องฟ้าโปร่งเปิดโล่งรับแสงวันใหม่
ยามพระอาทิตย์ลาลับลงตรงเส้นขอบฟ้า
ย่อมต้องกลับขึ้นมาส่องกระกายเหนือน่านฟ้าในวันต่อไป
ยามเมื่อน้ำไหลหลากท่วมสองฟากฝั่งถนน
มุ่งกวาดล้างสิ่งกีดขวางทางน้ำไหล
ล้างผลาญเคหะสถาน ผืนดิน ถิ่นอาศัย
ชุมชนน้อยใหญ่ พืชไร่ เรือกสวน
อีกทั้งสรรพชีวิตต้องหายลับไปกับกระแสน้ำ
จงตระหนักไว้เถิดว่า
สิ่งที่สูญหายไปกับน้ำ มิใช่ชีวิต !~
ยังจะมีอะไรอื่น ที่สำคัญกว่าชีวิตอีกหรือ...
น่าคิดเหมือนกันว่า...
เมื่อภัยอันตรายมาอยู่ ณ ตรงหน้าแล้ว
เรานั้นจะเลือกวัตถุ สิ่งของหรือเลือกที่จะรักษา
ความอยู่รอดปลอดภัยของชีวิตเอาไว้เป็นประการแรก
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ
ขอเพียงมีความหวัง...ตราบใดที่พระอาทิตย์ยังขึ้นอยู่
เมฆหมอกหนาสักปานใด...คงมีวันสลายหายไปหลังแสงแรกมาถึง
ตราบใดที่ยังมีความหวัง...ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ...แล้วใยต้องสูญสิ้นความหวัง
สำำหรับเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงครั้งหนึ่งของประเทศไทยในครั้งนี้รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติอีกหลายปัจจัย ซึ่งหนักหนาสาหัสอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมา้ก่อนหรืออาจเกิดขึ้นไม่บ่อยนักในครึ่งค่อนชีวิตของผู้เฒ่า ผู้แก่วัยชราหลายท่านที่ได้เติบใหญ่มาจนถึงวัยทองยังต้องมาพายเรือในทะเลน้ำจืดที่ไม่คิดว่าจะต้องมาประสบกับภัยธรรมชาติ เช่นนี้
ทั้งจากสภาพภูมิประเทศเชิงข้อมูลและสถิติ บางพื้นที่ไม่เคยประสบกับภัยธรรมชาติมาก่อน หรือไม่เคยมีความสุ่มเสี่ยงก็ยังได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางพื้นที่ทะยอยประสบชะตากรรมเช่นเดียวกันเมื่อเป็นธรรมชาติของกระแสน้ำที่ไหลจากบนลงสู่ล่าง จากที่สูงลงสู่พื้นที่ต่ำกว่า ผลจากอุทกภัยครั้งนี้กระทบกระเทือนถึงประชาชนพื้นที่ทางน้ำไหลผ่านโดยทั่วกัน หนักเบาตามการเตรียมการรับมือและป้องกันของแต่ละพื้นที่ บางพื้นที่ที่เข้าขั้นวิกฤติมากมีอาจมีผู้ประสบภัยถึงแก่ชีวิตและสูญหายไหลตามกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ชะล้างบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย พังทลายไม่อาจต้านทานความแรงของกระแสน้ำ ยังไม่นับทรัพย์สิน เรือกสวน ไร่นาของเกษตรกรในภาคเกษตร และภาคการผลิตอย่างโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งนับว่าสร้างความเสียหายอย่างมากให้แก่ผู้ประกอบการรายเล็ก-รายใหญ่ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ดังกล่าวนี้ จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีการถูกนำไปกล่าวโยงถึงสภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกอย่างรวดเร็ว และเหตุการณ์ 2012 วันสิ้นโลกอันโด่งดัง ซึ่งมาสนับสนุนทฤษฏีนี้อย่างมาก ยิ่งจะทำให้มีความน่าเชื่อถือและเป็นไปได้สูงขึ้น(อาจเข้าใกล้ความจริงไปทุกที)
อีกด้านหนึ่งทัศนะของนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวไปในทางเดียวกันว่า สาเหตุมาจากการเบียดเบียนธรรมชาติ ตัดไม้ทำลายป่า รวมไปถึงการขยายตัวของชุมชนเมือง ส่งผลต่อการเอาคืนและลงโทษมนุษย์ของธรรมชาติต่อพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติิอย่างเห็นแก่ตัวของมนุษย์
อย่างไรก็ตาม ความสูญเสียอันแสนคณานับ ประเมินเป็นตัวเลขทางเศษฐกิจ คงจะส่งผลให้จีดีพีของประเทศต่ำลงกว่าที่คาดการณ์ไว้บ้าง แต่ถึงกระนั้น บทเรียนราคาแพง บทนี้จะยังคงมีคุณค่ามหาศาล อันจะทำให้เกิดการฉุกคิดของการอยู่ร่วมกันและให้ความเคารพต่อฝนฟ้า อากาศ ต้นไม้ สายน้ำ และลำธาร ในขณะเดียวกันก็หันไปใช้ชีวิตตามวิถีธรรมชาติมากขึ้น อันจะเกิดการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า รักษาความสมดุลของสิ่งแวดล้อม ซึ่งนั่นหมายถึง การเบียดเบียนสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด
No comments:
Post a Comment