15.11.11

:: สรุปบทเรียน ::



   ลองคิดดูนะว่า.. คุณโชคดีแค่ไหนแล้ว ? ที่ได้เกิดมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งจากเรื่องฐานะความเป็นอยู่ที่ได้ไต่เต้าขึ้นมาของบรรพบุรุษให้คุณนั้นได้กินดีอยู่ดีตามควรแก่อัตภาพ ไหนจะไม่ต้องไปรบพุ่งแย่งชิงให้เสียเลือดเนื้อเพื่อให้ได้มาซึ่งอิสระภาพ ความเป็นไท ดังที่บรรพบุรุษไทยยุคที่แล้วมากระทำกัน แต่นั่นก็คงจะเป็นเหตุผลหนึ่งให้คนไทยในยุคสมัยนี้ ไม่ได้มีจิตสำนึกรักและหวงแหนบ้านเิกิดเมืองนอนของตนเองกันอย่างแท้จริงสักเท่าไหร่เลย ? รึว่าเรานั้นต้องตกเป็นเมืองขึ้น ตกเป็นอาณานิคมของชาติอื่นเหมือนดังประเทศเพื่อนบ้านแถบ ๆ นี้ จึงจะสามารถปลุกเลือดรักชาติให้เกิดขึ้นในหมู่ชาวไทย (ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาที่จะให้คนในประเทศลุกฮือขึ้นมาคลั่งชาติหรือว่ามีความรู้สึกชาตินิยมขึ้นในประเทศ) แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่จะหลอมรวมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติได้มิใช่หรือ ! บ่อยครั้งที่ทุกเช้าขณะทำกิจกรรมหน้าเสาธง คือ การยืนตรงเคารพธงชาติ เห็นพฤติกรรมที่(ไม่น่าจะเกิดขึ้น)รับไม่ได้ของหลายคนในแถว บ้างพูดคุยเสียงดัง ไม่ร่วมร้องเพลงชาติ บ้างล้วง แทะ แกะ เกา ตบกบาล แกล้งเพื่อนร่วมแถวในขณะร้องเพลงชาติ บ้างก็ยืนแอ๊คชั่นเป็นนายแบบ นางแบบไม่ได้สนหัวใคร ใครจะเป็นยังไงช่างปู่มัน นิล่ะคือภาพที่เห็นทุกวันของการแสดงความเคารพต่อสถาบันหลักของชาติซึ่งเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความเป็นเอกราชอธิปไตยของชาติมาจนทุกวันนี้ ... เอาเถอะ ก็ร้อยพ่อพันแม่นิ !! เน๊อ







    ดังนั้นจึงมีข้อน่าสังเกตว่าคนไทยยุคนี้ หลงลืม เพิกเฉยต่ออะไรบางอย่าง นั่นก็รวมถึงการขาดจิตสำนึกในชาติอย่างหนัก(จะบอกว่าเรารักชาติคนเดียว และคนอื่น ๆ ไม่รักก็ไม่ได้ คงจะเป็นการเอาดีใส่ตัว ความชั่วยกให้คนอื่น)จากเหตุความวุ่นวายของกีฬาสีแห่งชาติที่จบไป (ไม่แน่ว่ายังไม่จบ -- มีต่อ--โปรดติดตามชมตอนต่อไป) ในช่วงติดต่อกันหลายปีมานั้น ได้สร้างความบอบช้ำให้ประเทศมากมาย จนอาจเทียบได้กับเหตุการณ์เสียกรุงครั้งที่ 2 ให้แก่พม่า (ว่าไปโน่น) ด้วยเพราะว่ามีการเผาบ้าน เผาเมืองของบรรดาผู้เรียกร้องประชาธิปไตย (เค้าว่าอย่างงั้น) น่าสลดจิตกว่านั่นก็คือเป็นฝีมือพี่ไทยเล่นกันเอง จึงได้แต่คิดว่าเหตุการณ์สำคัญของยุคประชาธิปไตยเบ่งบานมันได้ผ่านมาตั้งนานแล้วนิ นับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา พฤษภาทมิฬ ประเทศนี้คงได้ประชาธิปไตยสมใจอยากซะทีนึง แต่แล้วกลับไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อกงล้อแห่งประวัติศาสตร์ได้หมุนย้อนกลับมาอีกครั้ง เกิดการปฏิวัติ !! ขึ้นอีกครั้ง ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย จนมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งแยกประเทศนี้ออกเป็น 2 สี ด้วยความเห็นต่างของอุดมการณ์ ความคิด ความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน  ผู้เขียนได้มีโอกาสเกิดมาทันในยุคนี้พอดิบพอดี เห็นว่าเป็นเรื่องดีที่จะได้ศึกษา เรียนรู้ถึงกระแสและพัฒนาการของสังคมไทยต่อไป 







    อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะรับทราบได้ว่าข้อมูลข่าวสารที่ออกมาแต่ละชุด ของบรรดาแต่ละคน พรรค กลุ่มก้อนต่าง ๆ ข้อมูลไหนเป็นความจริง เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ? ในเมื่อมีแต่ผู้(ชอบ)อ้างตนเป็นผู้ถูกต้อง และให้อีกฝ่ายที่เห็นต่างจากตนเป็นความชั่วร้าย แต่ก็อีกนั่นแหละ แต่ละฝ่ายย่อมมีเหตุผลเพื่อหาความชอบธรรมให้กับตัวเอง (มันน่าตลกสิ้นดี !) ฟังดูก็เคลือบเคลิ้มไปกับการหว่านล้อมของฝ่ายนั้น ๆ จนหลงเชื่อสนิทเอาแล้วหลายครั้ง จนกระทั่งเกิดการยุบสภาของรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เพื่อเปิดทางสู่การเลือกตั้งใหม่ในปี 54 ที่ผ่านมา ต่างฝ่าย ต่างคิดว่าฝ่ายที่ตนสนับสนุนจะชนะ ผลการเลือกตั้งก็ออกมาในท้ายที่สุด เมื่อพรรคเพื่อไทยได้รับเสียงข้างมาก ทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ทุกฝ่ายจึงยอมรับกัน (มั้ง) อย่างแมน ๆ ว่าได้แพ้ในการเลือกตั้ง ผู้ชนะมีสิทธิที่จะจัดตั้งรัฐบาล ประเทศจึงเดินหน้าต่อไปได้เมื่อทุกฝ่ายยอมรับกติกาในบ้านเมือง 






No comments:

Post a Comment