25.12.11

:: และท้ายที่สุดแ้ล้วเราจะเป็นผู้ชนะ ::



 


"Experience" is not in Google. If you try to Kearney, 
the term "experience" of the search: that is what you get. You need to find it by yourself.














21.12.11

:: เพียงลำแสงเส้นตรงตัดระหว่างช่องเงา ::


เมื่อพระอาทิตย์โผล่ขึ้นเหนือท้องฟ้าวันใหม่
ทอแสงสีทองเป็นประกาย
แผ่ขยายคลี่คลุมไปทั่วท้องฟ้าอันไพศาล
พลันสรรพสิ่งกลับมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์



20.12.11

:: ให้รักเดินทางมาเจอกัน ::


ธรรมชาติย่อมสร้างสิ่งที่วิเศษที่สุดให้แก่มนุษย์
 จึงทำให้มนุษย์นั้นมีปากไว้เพื่อเป็นกระบอกเสียงและเรียกร้อง 
ปกป้องสิทธิอันพึงมีของตนเอง 

ท่ามกลางความขัดแย้งที่นับวันจะยิ่งคุกรุ่น ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะของสังคมไทย หรือแม้แต่สังคมโลกในภาพรวม จะเห็นได้ว่าบุคคล หรือกลุ่มบุคคลนั้น ๆ พยายามออกมาแสดงความคิดเห็นโต้ตอบแก่อีกฝ่ายตามทัศนะ แนวคิด ตรรกะทางความคิดของตนเอง ดังจะเห็นได้จากวิกฤตการณ์ความขัดแย้งหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากีฬาสีภายในประเทศไทย

บุคคลแต่ละฝ่าย ต่างฝ่าย ต่างอ้างความชอบธรรมของตนเอง หยิบยกหาเหตุผลของตนเองขึ้นเกทับอีกฝ่ายหนึ่ง มุ่งแต่จะเอาชนะ ทัดทาน เข้าหักล้างอีกฝ่ายหนึ่งทุก ๆ ครั้ง ซึ่งเกิดเป็นความขัดแย้งและเส้นขนานที่ไม่มีวันจะมาบรรจบกันได้เลย (แม้คู่กรณีขัดแย้งด้วยนั้นจะล่วงลับไปแล้วก็ตาม ก็อาจจะยังหาข้อสรุปกันไม่ได้)

ผลตามมา คือ เกิดการเลือกข้างของอุดมการณ์ ความคิด ความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันขึ้นอย่างชัดเจน(ซึ่งแท้จริงแล้วถือว่าเป็นปกติธรรมดาของการปกครองระบอบประชาธิปไตย) และผู้ที่อยู่ระหว่างกลางหรือ "เป็นกลาง" ไม่เป็นคู่ขัดแย้งกับฝ่ายไหนอย่างชัดเจน ถูกเรียกว่า "คนเห็นแก่ตัว" 

สำหรับข้าพเจ้ามองว่า การที่บุคคลหรือปัจเจกบุคคลหนึ่ง ๆ ไม่เลือกข้าง ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นสิทธิของบุคคลนั้น ด้วยเหตุผลประการต่อมาว่าบุคคลนั้นอาจจะไม่เห็นด้วยทั้งหมดกับอุดมการณ์ฝ่ายไหนเลย แต่อาจจะเห็นด้วยในบางประเด็นที่สามารถยอมรับได้

หากลองนึกภาพตามข้าพเจ้าว่า เมื่อจำต้องมีเหตุทะเลาะวิวาทหรือความขัดแย้งใด ๆ เกิดขึ้น คงจะไม่เป็นการฉลาดนักที่จะเอาตัวเองเข้าไปท่ามกลางของความขัดแย้งนั้น นั่นหมายความว่า ผู้ที่เลือกช่วยอีกฝ่ายหนึ่ง ย่อมจะเป็นอริศรัตรูกับอีกฝ่ายหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนให้เกิดความขัดแย้งนั้นด้วยโดยมิได้แสดงการป้องปรามหรือระงับอารมณ์ รับฟังข้อมูล ความเป็นมาเป็นไปอย่างที่สุภาพชนพึงมีเพื่อเป็นการระงับเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา

(ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอาจจะโต้แย้งว่าหากมันคิดง่าย ทำง่ายเช่นที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาข้างต้นนี้ ก็คงจะกอดคอจูบปากกันไปแล้ว)

ข้าพเจ้า : ข้าพเจ้าจึงอยากจะถามกลับด้วยความเคารพว่า ทำไม ! ท่านทั้งหลายถึงไม่ทำให้มันเป็นเรื่องง่ายซะล่ะ ? จะมัวคิดปริศนาปรัชญาอยู่ใยให้มันยากเย็น ก็เพียงแค่ท่านนั้นเดินเข้าไปคุยกัน เรื่องก็จบ (ง่ายใช่มั้ยล่ะ) ง่ายไปมั้ย!!!

ขอยกตัวอย่างกรณีครอบครัวหนึ่ง เมื่อมีเืรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเกิดขึ้นแต่ไม่พูดคุยทำความเข้าใจกัน จึงเิกิดรอยร้าวฉานในครอบครัวขึ้นได้ เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน

มิใช่ว่าจะพูดจาแถลงการณ์ปาว ๆ ออกสื่ิ่อโจมตีขั้วตรงข้ามทางกา่รเมือง ประเดี๋ยวก็จะมีอีกฝ่ายออกมาตอบโต้ทันควัน โดยใช้สื่อเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ แย่งเนื้อที่ข่าวไปในตัวแกมยืมมือฟาดฟันคู่ต่อสู้ฝ่ายตรงข้าม โต้กลับกันไปมาอย่างที่มีให้เห็นทุกวี่ทุกวัน

จึงเกิดคำถามตามมาคณานับว่า...

ทำไม ! เราถึงไม่คุยกันเอง
หรือ เราไม่ใช่คนในบ้านเดียว เมืองเดียวกันอย่างนั้นหรือ !!!
ถ้าท่านทั้งหลาย ตอบว่า ใช่...แล้วทำไมไม่นั่งลงพูดคุยกัน
ลองมองว่าเราทั้งหมดล้วนพี่น้องกัน เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน อาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกัน มีพ่อคนเดียวกัน ฉันพี่น้อง ปรองดอง สมัครสมานสามัคคี (อย่าให้คำ ๆ นี้กลายเป็นเพียงคำพูดที่ฟังดูไพเราะ คล้องจอง แต่ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ)  ลดช่องว่าง พังทะลายกำแพงความห่างเหินและความหวาดระแวงซึ่งกันและกันนั้นลงเสียให้สิ้น อาจจะช่วยให้เราเข้าใจกันได้ดีกว่านี้...

ประเด็นใหญ่ ๆ วิวาทะทางการเมืองก็น่าที่จะมีเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ดีบง ดีเบต สนทนาซักถามข้อสงสัยกันได้บ้าง ส่วนหนึ่งเพื่อการแลกเปลี่ยนความคิด ถกแถลงณ์หาข้อสรุป เกิดเป็นฉันทามติร่วมกันของสังคมนำไปสู่การปลูกฝังจิตสำนึกความรู้สึกร่วมกันให้เคารพความคิดเห็นของผู้อื่น แม้จะแตกต่างกับตนเอง (แต่ต้องเป็นเวทีสาธารณะโดยมีภาคประชาสังคม ประชาชนทุกสาขาอาชีพมีส่วนร่วมด้วย) เชื่อว่าน่าจะคุญกันรู้เรื่องกว่าที่แล้วมา ลองนั่งลง ทำใจให้สบาย เปิดอกพูดคุยกันแบบเปิดใจ คลายทุกข้อกังขา ข้อสงสัย ข้อข้องใจ ความคับอกคับใจ ความไม่สบายใจ ความกังวลใจ (สังเกตว่าลงท้ายด้วย "ใจ" บางทีทุกสิ่งอย่างลงท้ายที่ใจเป็นสำคัญ) และสร้างจิตสำนึก เจตจำนงร่วมกันของพลเมือง ตกลงเราจะเดินหน้าประเทศนี้ไปอย่างไร อะไรที่ควรเร่งกระทำเป็นการด่วน เรียงลำดับก่อนหลัง คงช่วยให้เห็นทิศทางว่าจะนำพาประเทศชาติไปอย่างไรชัดเจนขึ้น

19.12.11

:: Timeless ::

ว่าด้วยบุคคลที่น่าสนใจอันควรแก่การศึกษา

1) บุคคลตัวอันตรายผู้ใช้ชีวิตภายใต้ซอกหลืบ มุมมืดของสังคม เช่น นักโทษแดนประหาร อาชญากร โสเภณี มือปืน โจร เจ้าพ่อ แก็งค์มาเฟีย บุคคลนอกรีต เหนือกฏหมายทั้งหลาย

2) กลุ่มบุคคลที่ใช้ชีวิตสไตส์โรบินฮู้ด รวมทั้งเหล่าวณิพกพเนจร กลุ่มคนเร่ร่อน จรจัด ไร้ที่อยู่อาศัย คนเสียสติ หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ (Homeless) ฯลฯ ซึ่งสามารถพบเห็น "ผู้บุกเบิก" หรือ "ผู้ถูกเลือก"(ข้าพเจ้าเรียกเขาเช่นนั้น) ได้ทั่วไปตามข้างถนนหรือบนทางเท้า อย่างน้อยพวกเขาได้ช่วยจุดประกายทำให้เ้ราเห็นมุมบวกของชีวิตว่า "ตัวเรานั้นมีมากกว่าพวกเขาในด้านฐานะทางเศรษฐกิจ การศึกษา ความเป็นอยู่แต่ไม่ได้หมายรวมถึงระดับจิตใจจะดีกว่า หรือมากกว่า"

3) คำพูดของผู้แก่ชรา สูงอายุ นับว่ามีความสำคัญมากเสมือนกับได้พูดคุยกับผู้ทรงภูมิ ช่ำชอง เจนโลกมาแต่ในครั้งอดีต จึงถือว่าช่วยย่นระยะทางได้มากทีเดียว

และที่ลืมเสียมิได้เลยนั่นคือ "คำพูดอันเปรียบประดุจวาจาประกาศิตของคนใกล้ตาย" หรือเฉียดใกล้ความตายมากที่สุด (อาจจะผ่านมาแล้วและรอดชีวิตมาได้) เพราะเมื่อมียมทูตมาฉุดคร่าวิญญาณของเขาไป วินาทีนั้นเขาย่อมจะรู้ซึ้งถึงสิ่่งที่เป็นแก่นและความหมายอันแท้จริงของชีวิต



18.12.11

:: โกงความตาย ::


จงโผบิน...
แ้ม้ตึกสูงพังครืนลงกับตา
แม้แผ่นฟ้่าทลายลง ณ ตรงหน้า
แม้ภูผาขวางกั้นตั้งตระหง่าน
แม้พายุมรสุมร้ายแรงเข้าถาโถม
แม้ลมโหมจะกัดกร่อนใจให้ด้านชา
แม้แดดจ้าจะแผดเผาเข้าใบหน้า
แม้ดวงตาจะปนเลือดจนเหือดแห้ง
แม้แรงล้าระรวยอ่อนหายใจริน
แม้สองขาทรุดยากจะยกย่ำก้าวข้ามไป
แม้หยัดยืนผ่านแสงไฟในโดษดื่นเพียงลำพัง
จงโบกโบยโจนถลาแม้สุดโพ้นฟ้าตะวันออกไกล.

:: ไม่อยากพูดย้ำอีกเป็นครั้งที่ 2 ::


จงเรียนรู้มารยาทจากคนไร้มารยาท

:: สิ่งแปลกปลอม ::


"ปัญหา" เป็นได้ทั้งจุดจบและประสบการณ์อันมีค่า

:: กาลเวลากลืนกินทุกสรรพสิ่ง ::


   หลายชั่วโมงที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ไปทำธุระในสถานที่แห่งหนึ่ง จึงต้องมีความจำเป็นต้องใช้บริการรถโดยสารประจำทางปรับอากาศ(รถตู้โดยสารประจำทาง)


   เป็นโอกาสดีที่จะได้พบเจอกับบุคคลอื่น ๆ ที่ต้องใช้บริการรถโดยสารเช่นเดียวกัน...
นั่นจึงทำให้ "เรื่องสนุก" คิดเรื่องนี้เกิดขึ้นมาและได้นำมาเล่าสู่กันฟัง
เมื่อบุคคลแต่ละคนมาเจอะเจอกันโดยบังเอิญ (อาจจะไม่บังเอิญเพราะมีธุระหน้าที่ของแต่ละคนเป็นเสมือนแส้ที่คอยไล่ต้อนให้กระทำอยู่เสมอ)แต่นั่นเป็นเรื่องที่จะต้องไปจัดการของแต่ละบุคคล

   ประเด็นสำคัญอยู่ที่เมื่อคนหลาย ๆ คนมารวมกันในรถโดยสารคันเดียวกันบนพื้นที่แคบ ๆ เราจะเรียกว่านี่คือ "สังคม" ได้หรือไม่ (คงจะได้ เพราะการจะเป็นสังคมได้นั้นจำต้องมีสมาชิกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมาอยู่รวมกัน) แม้จะไม่มีปฏิสัมพันธ์ในเชิงพูดคุยระหว่างกันก็ตาม
   และแต่ละคนที่มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้(รถตู้โดยสารประจำทาง)ต่างมีที่มาแตกต่างกันออกไป ต่างกรรมต่างวาระ ต่างหน้าที่ ต่างจิตต่างใจ มาจากร้อยพ่อพันแม่ แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ เมื่อลองคิดให้มันดูสนุกหรรษาหน่อยจะเห็นได้ว่า เพราะความหลายหลายนี้เอง จึงเกิดเป็นเรื่องราวขึ้นมาในสถานการณ์นั้น ๆ เป็นต้นว่า

- แต่ละคนมีภูมิหลัง ประสบการณ์ ความคิด ทัศนคติและการมองโลกอย่างไร ?

- พื้นหลังของลำดับเหตุการณ์ในชีวิตของแต่ละบุคคลเป็นอย่างไร ? (ทำไมเขาถึงแสดงสีหน้าเช่นนี้ กระทำกิริยาเช่นนี้ เมื่อเจอกับเหตุการณ์อย่างนั้น) เพราะก่อนที่ใครคนนึงจะตัดสินผู้ใด สิ่งสำคัญที่สุด คือ การรู้ปมหลังอดีตของเขาคนนั้น เพราะนั้นคือการทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของเขาที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของเขาในปัจจุบันด้วย(ลองเข้าไปเป็นเขา แล้วคุณจะเข้าใจชีวิตของใครคนนั้นดีขึ้น ก่อนที่จะตัดสินพิพากษาใครคนนั้นด้วยสายตาเปล่าแบบไม่ยุติธรรมนัก)

- ก่อนหน้าเหตุการณ์ที่เขาคนนั้นจะขึ้นมาบนรถโดยสาร เขาได้ไปพบเจอกับเรื่องราวอะไรบ้าง(มันเป็นเรื่องน่าคิดสนุก ๆ คงจะไม่ได้เข้าไปยุ่งยากกับชีวิตผู้อื่นจนเกินไป)

- ขณะที่รถกำลังวิ่งมุ่งตรงไปทางข้างหน้าของถนน สายตาของเขาปราดมองอะไรอยู่ ? และกำัลังคิดเรื่องอะไร ?

   ทั้งหมดนี้คงเป็นคำถามเชิงจิปาถะ ไร้แก่นสารสำหรับบางคน แต่สำหรับข้าพเจ้ามักใช้ถามตัวเองระหว่างใช้เวลาไปกับการเดินทางและพยายามสังเกตพฤติกรรมของแต่ละคนโดยปราศจากอคติส่วนตัวและการนำความคิดเห็นส่วนตัวของตัวเองไปป้ายสีแก่พวกเขาเหล่านั้นให้น้อยที่สุด(คงเพราะ "เรา" ในที่นี้หมายถึงทุกคน ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันในสังคมกว้างแห่งนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้ในบางชั่วขณะอาจรู้สึกไม่สบอารมณ์นักกับสิ่งที่ผู้อื่นได้แสดงออกมา แต่คงจะดีไม่น้อยถ้าคน ๆ นึงพยายามเข้าใจและตระหนักถึงการอยู่ร่วมกันโดยสันติสุข มองเห็นและเข้าใจความต้องการของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาว่าสิ่งนั้น เรื่องนั้นมาจากเหตุผล ตรรกะ หลักคิดอะไร)

   เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์เสี้ยวเล็ก ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวัน มีเรื่องราวอีกมากมายหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา รวมถึงคนอื่น ๆ รอบข้าง แต่เรามักจะเลือกให้เหตุการณ์อื่นที่สำคัญกว่า เพราะทุกคนล้วนให้คุณค่าและความสำคัญของแต่ละเรื่องไม่เท่ากัน
เหตุการณ์สำรวจตัวละคร(โดยอาจจะรู้ตัวหรือไม่ก็ได้ แต่พยายามให้บุคคลที่เรามองอยู่รู้ตัวน้อยที่สุดและควรมองด้วยสายตาอย่างเป็นมิตร ไม่จ้องเขม็งจนเสียมารยาท เก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้)ที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวัน ๆ หนึ่ง ครั้งนี้...ข้าพเจ้าพลันนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือ การนั่งเรียนหนังสืออยู่ในห้องเรียน นึกภาพตามว่าเมื่อคุณนั่งโต๊ะแถวแรก(หน้าสุด) คุณจะไม่มีโอกาสได้เห็นเพื่อน ๆ นักเรียนทุกคนในห้องเช่นเดียวกับคนที่นั่งอยู่หลังห้องมองเห็นภาพเพื่อนนักเรียนทุกคนอย่างละเอียดครบถ้วน นั่นจึงทำให้นักเรียนหลังห้องคิดอีกอย่างนึง เด็กหน้าห้องมีความคิดอีกแบบนึง เราแต่ละคนจึงมีมุมมองของตัวเอง และสำคัญอย่างยิ่งว่าเราจะเลือกมองมุมไหน





16.12.11

:: กิ้งก่าเปลี่ยนสี ::


วิธีการที่ง่ายที่สุดอย่างหนึ่ง...ที่ข้าพเจ้ามักจะใช้อยู่เสมอ
เพื่อไม่ให้ดูแปลกแยกกับสังคมจนเกินไปนัก
(อันที่จริงก็ไม่ไ้ด้ตัดขาดจากกันมากสักเท่าไหร่ 
มองออกไปคุณก็มนุษย์ปุถุชนธรรมดา
เมื่อมองกลับมายังตัวของข้าพเจ้าเอง ก็เช่นเดียวกัน)
คุณเองก็นำไปใช้ได้เช่นกัน เมื่อต้องจ้องประสานสายตากับคนแปลกหน้า
พวกเขาทั้งหลาย มักจะมองราวกับว่าคุณมิใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับเขาเหล่านั้น
หรือไม่ก็อาจบั่นทอนความรู้สึกมั่นใจของคุณลงได้
เพราะอาจมีสิ่งผิดปกติน่าอับอายใด ๆ เกิดขึ้นกับคุณ
ดังนั้น มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะแสดงออกแก่ทุกคน
เพียงแค่คุณทำตัวให้แนบเนียนไปกับคนอื่น ๆ เท่านั้นเอง
มันอาจเป็นเรื่องง่ายมาก ๆ สำหรับคุณ
นั่นเพราะเราทุกคน คือ ผู้แต่งบท
เรา คือ นักแสดงเจ้าบทบาท
เรา คือ มืออาชีพ
เล่นตามบทของคุณ เล่นมันให้ดีที่สุด :)


14.12.11

:: ฝันกลางวัน ::


เหตุใดชีวิตจึงไม่เหมือนดังละครหลังข่าว...

ประการแรก นั่นเพราะฉากสุดท้ายของชีวิตไม่เหมือนดังละครที่มีฉากจบท้ายเรื่องแบบเอาใจผู้ชม

ประการที่สอง นั่นเพราะชีวิตจริงเราไม่สามารถเลือกบทบาทอย่างใด อย่างหนึ่งเหมือนเช่นตัวละครในเรื่องนั้น  ๆ นั้น แต่ในบางครั้งอาจเป็นเทวดา นักบวช ใจบุญ ในเวลาต่อมาอาจแปรเปลี่ยนเป็นซาตาน จอมมาร ตัวร้ายได้เช่นเดียวกัน

ประการที่สาม นั่นเพราะในฉากละครหลังข่าวบู๊ล้างผลาญ สาดกระสุนเกลื่อนกราด สนั่นจอ แต่ในชีวิตจริงเลือดและพลังงานของร่างกายเรามีจำกัด ไม่สามารถเล่นบทอัศวินควงปืนได้ตลอดทั้งเรื่อง

ประการที่สี่ นั่นเพราะชีวิตจริงไม่มีปาฏิหารย์(เชื่อว่าไม่มี)นอกจากจะลงมือสร้างมันขึ้นมาเอง แต่ในหลาย ๆ เรื่องมีเทวดาเล่นกลคอยเป็นผู้ช่วยสร้างอภินิหารให้แก่ผู้ที่ทำความดี คุ้มครองผู้กระทำความดีจากเหล่าร้ายทั้งปวง


ประการที่ห้า นั่นเพราะชีวิตจริงไม่มีทางลัด ทุกสิ่งอย่างเริ่มต้นจากศูนย์ สู่หนึ่ง สองและสามตามลำดับ ไม่มีข้ามขั้น ไม่สามารถถ่ายทอดวิทยายุทธิ์อันแก่กล้าจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งให้แก่กันได้(อย่างในหนังจีนกำลังภายใน)

ประการที่หก นั่นเพราะชีวิตจริงเราต้องอาหาร น้ำดื่ม การพักผ่อนนอนหลับที่เพียงพอ เพราะเรามิใช่ยอดมนุษย์ ? เหมือนในภาพยนตร์อิงวิทยาศาสตร์ นิยายเหนือธรรมชาติ และขบวนการกอบกู้โลกทั้งหลายแหล่

ประการที่เจ็ด นั่นเพราะชีวิตจริง คุณไม่สามารถแก้ไขกับเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดใด ๆ ของคุณได้ หลังจากที่คุณไม่อยู่แล้ว ! แต่ในละคร บทบาทที่ตัวละครได้รับในเรื่องจะถูกกล่าวถึงแม้ว่าจะไม่อยู่แล้วก็ตาม(คุณอาจจะถูกกล่าวถึงบ้างอาจจะเป็นเรื่องดี ๆ หรือความชั่วที่คุณได้กระทำไว้กับผู้อื่น)

ประการที่แปด นั่นเพราะในชีวิตจริงฉากของความสำเร็จ หัวเราะ ดีใจ ไปจนถึงร้องไห้ เสียใจ ผิดหวัง โศกเศร้าเคล้าน้ำตา ย่อมจะไม่มีเสียงดนตรี ไตเติ้ลอลังการบรรเลงประกอบฉากนำเรื่องให้คุณอย่างในละคร

ประการที่เก้า ในละครทุกเรื่อง ตัวละครที่ดำเนินอยู่ในเรื่องจะไม่มีวันแก่ชรา แม้จะกลับมาดูอีกกี่ครั้ง ๆ ก็ตาม ก็ยังจะคงหนุ่มสาวเสมอในความทรงจำของคุณ ตรงกันข้ามกลับเป็นคุณที่อายุมากขึ้นเมื่อชีวิตดำเนินมา

ประการที่สิบ นั่นเพราะตัวละครที่สวมบทบาทในเรื่องนั้น เราสามารถเดาเรื่องได้ (บางเรื่องอาจหักมุมตอนท้าย) ว่าอยู่ในบทของฝ่ายอธรรม ปีศาจ ตัวร้าย ไปจนกระทั่งแม่พระ นักบวชใจบุญ มีเมตตาซึ่งสามารถแยกออกได้อย่างชัดเจน ซึ่งตรงกับข้ามอย่างสิ้นเชิงกับชีวิตจริง ที่เป็นเพียงสมมุติฐานบางประการจากการถอดความแตกต่างระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและโลกอุดมคติอันสามารถพบเห็นได้จากในบทละคร ภาพยนตร์ อิงวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่สร้างมาจากเรื่องจริงบ้าง นวนิยาย นิทานบ้างก็ตามแต่ แต่กระนั้นก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยให้ความสนใจรับชมสิ่งเริงรมย์เหล่านี้ เพื่อความสนุกสนาน บันเทิงใจ เป็นการผ่อนคลายจากชีวิตอันแสนยุ่งเหยิงในชีวิตประจำวันของพวกเขาเหล่านั้น โดยหันหน้าเข้าสู่โลกอุดมคติ เสพอารมณ์ของตัวละครในเรื่องราวกับว่ามีอยู่ในชีวิตจริง


อาจเป็นความจริงที่ว่า...
ชีวิตในบางครั้ง 
ความอยุติธรรมก็คล้ายเป็นเรื่องถูกต้อง 
ความเจ็บปวดก็คล้ายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง 
ความเสียเปรียบก็อาจถูกยัดเยียดให้ 
ความพ่ายแพ้ก็อาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดฝัน 
คนที่เข้มแข็งเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับเอาไว้ได้ 
เพื่อที่จะกอบกู้ทุกอย่างกลับคืนมา

เพื่อนชื่อทางวิทยาศาสตร์ (ECOSYSTEM)


เพื่อน แต่ละคนย่อมจะมีนิยามของคำนี้แตกต่างกัน
 สำหรับข้าพเจ้าให้นิยามของคำ ๆ นี้
ไว้เพียงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกัน
 เมื่อลองขบคิดดูอย่างละเอียดแล้วจะเห็นว่าในโครงสร้างความสัมพันธ์ของระบบนิเวศ 
ซึ่งน่าแปลกใจที่สามารถนำมาใช้จัดประเภทของเพื่อนได้เป็นอย่างดี
 ตามแต่ว่าใครจะพบเจอเพื่อนประเภทไหนบ้าง 
อาจจะทั้งหมดนี้ หรืออย่างใด อย่างหนึ่งก็ได้
 จึงมีคำถามเกิดขึ้นตามมาว่า
แล้วข้าง ๆ คุณ คือ เพื่อนประเภทไหน ? 
อีกอย่างหนึ่ง...มองมุมกลับว่า คุณล่ะ!จัดว่าเป็นเพื่อนประเภทไหน ?


- ภาวะพึ่งพากัน (mutualism) 

- ภาวะได้ประโยชน์ร่วมกัน (protocooperation) 

- ภาวะเกื้อกูลกันหรือภาวะอิงอาศัย (commensalism) 

- ภาวะล่าเหยื่อ (predation) 

- ภาวะปรสิต (parasitism) 

- ภาวะการแข่งขันกัน (competition) 

-ภาวะเป็นกลาง (neutralism)



12.12.11

:: ผู้ชนะสิบทิศ ::


หากคุณเห็นด้วยกับทุกคน
พยักหน้ากับทุกคำตอบที่ได้รับ
ก็ไม่จำเป็นต้องมีคุณอีกต่อไป...


:: OUT OF CONTROL ::


ผู้ที่โชคร้ายที่สุดในโลก 
อาจเป็นผู้ที่โชคดีที่สุดในโลก...ในคน ๆ เดียวกัน


10.12.11

:: แสงสว่างที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ::


ชีวิตไม่ได้เริ่มต้นพร้อมกับแสงแรกของพระอาทิตย์วันใหม่
เช่นเดียวกับ ...
ชีวิตไม่ได้สิ้นสุดลง ... ยุติลงตรงเวลาล่วงลับไป ณ แสงสุดท้าย
ค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยลับตาหายไปจากเส้นขอบฟ้า
เมื่อวิถีแห่งชีวิตกลับตาลปัตร
หลายชีวิตยังคงออกเดินทาง ใช้ชีวิตหลังฟ้าเปลี่ยนสี
ความมืดดำครอบคลุมทั่วแผ่นฟ้า มีดวงดาราเป็นฉากหลังอันงดงาม
เพียงแต่มีแสงสว่างอยู่แห่งหนใด 
ที่นั่น ... ย่อมจะมีชีวิตดำรงอาศัยอยู่
ไม่จำกัดเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน
บางครั้ง บางทีอาจพูดได้ว่า...
ที่ใดมีชีวิต ที่นั่นย่อมจะมีแสงสว่างส่องถึงเสมอ
แม้จะต้องผ่านพ้นคืนวันอันโหดร้ายสักปานใดก็ตาม
แต่ถึงอย่างไร วันใหม่ที่สดใสเรืองรองก็ยังจะรอเจ้ากล่าวคำทักทาย
สำหรับหัวใจอันแรงกล้าของเจ้าอยู่ทุก ๆ วัน
ดังนั้น ทุก ๆ แห่งจึงเป็นดั่งเมืองที่ไม่เคยหลับไหล
ผู้คนขวักไขว่สัญจรเดินทาง
ถนนทุกสายคับคั่งไม่หยุดนิ่ง
รอคอยต้อนรับผู้มาเยือนคนแล้ว คนเล่าที่จะหยุดเอื้ิอนเอ่ย
คำขอบคุณสำหรับมิตรภาพร่วมทางที่มีให้ตลอดมามิขาด
แล้วเดินทางจากไปโดยอาจไม่มีโอกาสผ่านทางสายเส้นนี้ในภายหน้า


[------------------------------------------------------------------]

:: คบเพลิง ::


เพลิงไฟแห่งความแค้นจะเผาผลาญมล้างสิ้น
สำหรับผู้ที่จุดมันขึ้นด้วยความเกลียดชังภายในใจ
หาใช่แก่ผู้อื่นที่จะได้รับมัน ...


:: กาแฟดำ ::


ผู้ แ ข็ ง แ ร ง ย่ อ ม จ ะ แ ส ด ง ค ว า ม อ่ อ น น้ อ ม 
 ผู้ อ่ อ น แ อ ย่ อ ม จ ะ ข่ ม เ ห ง รั ง แ ก ผู้ อื่ น  . . .


8.12.11

:: ตลกร้าย ::


บางครั้ง บางที
ชีวิตก็เป็นเรื่องตลก...ที่เราหัวเราะไม่ออก

5.12.11

-= [ ตัวตนของฉันนั้นสำคัญกว่าชื่อเสียง ] =-




ตัวตนของฉัน...
นั้นสำคัญกว่าชื่อเสียง


ชื่ อ ที่ เ ธ อ เ รี ย ก ฉั น นั้ น 
 มั น ไ ม่ มี ค ว า ม ส ลั ก ส ำ คั ญ ใ ด   ๆ   เ ล ย 
 เ พี  ย ง เ ป็ น สิ่ ง ส ม มุ ติ อุ ป โ ล ก ขึ้ น เ ท่ า นั้ น .

4.12.11

:: เรื่องที่ยังเล่าไม่จบ ::


ตราบใดที่ชายคนนึงยังจะมีความสำคัญต่อวัน ๆ นึง
ตราบใดที่วันสำคัญวันนั้นจะยังคงมีอยู่ต่อไป
ตราบใดที่ยังต้องการให้ชายคนนั้นปรากฏตัวในวันนั้นเสมอ ๆ
ตราบใดที่ผู้ชายคนหนึ่งยังจะมีบทบาทในฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัว
ตราบใดที่ผู้ชายคนนึงยังจะมีนิยามให้เปรียบเสมือนเป็นดังเสาหลักของบ้าน
ตราบใดที่ผู้ชายคนนั้นยังจะมีความรับผิดชอบในภาวะของการเป็นผู้นำ
ตราบใดที่วันพร้อมหน้ากันยังจะต้องมีชายคนนั้น
ตราบใดที่ทุก ๆ วันจะต้องเรียกหาเมื่อไม่พบหน้า
ตราบใดที่วันธรรมดาจะต้องได้มาชิดใกล้สนิทสนม
ตราบใดที่ทุกย่างก้าวของสองเท้าน้อย ๆ ยังต้องการต้นแบบ
ตราบใดที่เค้าโครงใบหน้ายังต้องการหาความคล้ายเหมือน 
ตราบใดที่นามสกุลที่ยืมใช้ยังต้องการหาแหล่งที่มา
ฉันใด ก็ฉันนั้น ตราบใดที่ลูกยังต้องการพ่อ ก็ยังคงต้องมีพ่อสำหรับลูก

หากแต่การเป็นพ่อที่ดีนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สังคมพยายามสะท้อนให้เห็นแต่ภาพครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่นั่นลืมไปเสียสนิทเลยว่า ยังมีเด็กอีกจำนวนไม่น้อยที่ขาดตรงส่วนนี้่ (สภาพความเป็นจริงของสังคม) นับวันยิ่งจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สาเหตุอันเกิดมาจากความมักง่าย ไม่ประสีประสา ขาดการวางแผนครอบครัวของคนเหล่านั้น จึงส่งผลกระทบมาสู่ตัวของเด็กด้วย ซึ่งอนาคตจะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า โดยคุณกำลังจะสร้างปัญหาซ้ำซ้อน แตกแขนงนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ของสังคมตามมาอีกเป็นลูกโซ่คล้องเกี่ยวเชื่อมโยงกัน นั่นเพียงการขาดความรัก ความอบอุ่น ความเอาใจใส่ดูแล บกพร่องต่อหน้าที่ของคุณทั้งจากสภาพเศรษฐกิจ ความยากจน การศึกษา อาชีพและรายได้ ฯลฯ จึงไม่มีความสามารถพอที่จะให้การอบรม สั่งสอน ปล่อยปละละเลยเ้ด็กส่วนนี้ให้เติบโตขึ้นเป็นพลเมืองคนหนึ่งที่ดีของประเทศชาติได้ เด็กกลุ่มนี้จึงอาจถูกผลักเข้าสู่วังวนของยาเสพติด อาชญากรรม ปล้นชิงวิ่งราว ลักเล็กขโมยน้อย ไปจนถึงวงจรค้ามนุษย์ข้ามชาติเลยทีเดียว คงจะไม่เป็นการคิดในแง่ลบเกินไปนัก โดยสามารถเห็นได้ตามหน้าข่าว หนังสือพิมพ์อยู่บ่อยครั้ง  จึงใคร่อยากจะให้เห็นความสำคัญของครอบครัวและหน้าที่ที่มีต่อสังคม ประเทศชาติ

หากคุณยังไม่มีความพร้อมเพียงพอสำหรับหน้าที่อันใหญ่หลวงเช่นนี้ หากจะลองคิดให้สุดโต่งน่ากลัวอีกสักนิดจะเห็นว่า นี่คือการผลิตอาชญากร ลูกเสือลูกจระเข้ออกมาโลดแล่น ลอยนอล เตรียมพร้อมสู่การสร้างปัญหาให้กับสังคมที่ตามมาอีกนับไม่ถ้วน เมื่อแสดงภาพออกมาดังนี้แล้วจะเห็นชัดเจนขึ้นว่า สถาบันครอบครัวมีความสำคัญเพียงไร ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวอีกเช่นกัน ใช่จะมองเพียงเป็นเรื่องเล็ก ๆ ระหว่างคนสองคนได้อีกต่อไป

2.12.11

:: ปริศนาอะไรเอ่ย ? ::


ก่อนหน้าจะเป็นโขดหิน
ถัดจากนั้นเป็นบรรยากาศ
สายลมช่วงตากผ้า
ถัดลงมาข้างล่างเป็นสอง
มือถือฝักบัวรดน้ำ
ของตาเฒ่า ???


......................................

:ขียนไว้หลังปกสมุดบันทึกเมื่อนานมาแล้ว
กลับมาเปิดอ่านยังมืดแปดด้าน
ว่าหมายความถึงอะไร ?
จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่อาจทราบคำตอบนี้
และคงจะเป็นรหัสลับเช่นนี้ต่อไป



:: ความเรียบง่ายงดงามที่สุด ::


ม่มีอะไรธรรมดา เท่ากับการเป็นคนธรรมดา
ความไม่ธรรมดา คือ การอยากเป็นเพียงคนธรรมด.

:: ลัดเลาะระหว่างทางเดิน ::



 ม่ น่ า เ ชื่ อ ว่ า ตั ว เ ร า เ อ ง นั้ น . . . ณ  วั น นี้ 
 จ  ะ เ ป็ น ค น   ๆ   เ ดี ย ว กั น กั บ เ ด็ ก น้ อ ย ค น นั้ น . . . เ มื่ อ วั น ก่ อ น ห รื อ ปี ก่ อ น . . .

:: เมื่อครั้งจำความได้ ::


ราอาจฟื้นคืนความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวในวัยเด็กได้ชัดเจน
 แม้จะผ่านมาเนิ่นนานสักปานใดแล้วก็ตาม
เช่นเดียวกับความหมายของใครบางคนที่อยู่ในช่วงเวลานั้นด้วยเสมอ...

:: สิ้นสำเนียงเพียง ณ เสียงลมปาก ::


คำพูดเพียง 1 คำ 
อาจแปลได้หลายความหมาย

คำพูดเพียง 1 คำ 
ใช้กับเหตุการณ์ ต่างกรรม ต่างวาระ ต่างช่วงเวลา ความหมายก็เปลี่ยนไปแล้ว

คำพูดเพียง 1 คำ 
ใช้กับคนหนึ่ง ๆ ย่อมจะแตกต่างออกไปอีก

คำพูดเพียง 1 คำ 
คนพูดเหมือนกันแต่สื่อความหมายออกมาอีกอย่างหนึ่งก็เป็นได้

:: เหลือบมองทางที่ผ่านมา ::


รพูดให้ผู้อื่นเข้าใจตามความคิดของเรานั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง (เชื่อหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) 
แต่การอธิบายความรู้สึกของตนเองให้ผู้อื่น เข้าใจเป็นเรื่องยากยิ่งกว่า 
เช่นเดียวกับการถ่ายทอดความคิดสู่ผู้อื่นเป็นความสำเร็จยิ่งของการสื่อสาร
หากแต่การอธิบายอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดภายในใจตนเองได้
นับเป็นความสำเร็จสูงสุด   . . . 
บ า ง ที   ก า ร พู ด   อ า จ ช่ ว ย ใ ห้ ผู้ื อื่ น เ ข้ า ใ จ เ ร า บ้ า  ง
 แ ต่ ก า ร เ ขี ย น   อ า จ ช่ ว ย ใ ห้ เ ร า เ ข้ า ใ จ ต น เ อ ง ไ ด้ แ จ่ ม ชั ด ขึ้ น   . . . 
นั่นเพราะว่า จุดประสงค์หลักของการเขียน คือ การเข้าใจในตัวของคุณเองก่อน
แล้วจึงนำสิ่งที่คุณเข้าใจนั้น อธิบายขยายความสู่ผู้อื่นให้เข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร
ในเรื่องนั้น ๆ ของเราด้วย

:: จงระวังทางข้างหน้าและที่สำคัญยิ่งกว่า จงระวังผู้นำทางไป ::



"จงระวังทางข้างหน้าและที่สำคัญยิ่งกว่า
จงระวังผู้นำทางไป"
    ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาผู้นั้นกำลังหลงทาง ? (ไม่มีใครตอบได้ นอกจากผู้นำทางเอง) คุณกำลังก้าวเดินตามผู้นำที่กำลังหลงทางอย่างนั้นหรือ ! ขอให้คุณหยุด ณ ตรงนั้น หันกลับเพื่อเลือกเส้นทางใหม่ให้แก่ตัวคุณเอง เมื่อคุณเดินทางผิดอาจต้องเสียเวลาเดินทางกลับไปเริ่มต้น ณ จุดเดิมอีกครั้ง อีกทั้งเสียเวลาเดินทางไป-กลับเป็นเท่าตัวของระยะเวลาที่เดินทางไปแล้วทั้งหมด ก็ยังจะดีเสียกว่า รู้ตัวเมื่อสุดทางเสียแล้ว
    แต่ชีวิตนี่สิ ... เลือกกลับไปยังจุดเริ่มต้นเดิมไม่ได้อีกแล้ว และถือว่ามาไกลเกิินกว่าจะย้อนกลับได้ แต่ละเหตุการณ์ ช่วงวัย เปลี่ยนผันไปตามการเคลื่อนตัวของแผนที่ชีวิต อาจเิกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และครั้งสุดท้ายในชีวิต ไม่มีโอกาสให้แก้ตัวรอบสอง ผิดพลาดคือผิดพลาด เก็บไว้ได้เพียงเป็นประสบการณ์เพื่อนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจในครั้งต่อไป ไม่แน่ว่ายังมีใครบางคน ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตเดินทาง-เวียนวน-แก้ไข-เริ่มใหม่ ซ้ำ ๆ อยู่กับแผนที่ฉบับเดิมของเขาเอง ไม่ไปถึงจุดหมายปลายทางสักที และเป็นไปได้ว่า คุณเองก็อาจจะกำลังหลงทางอยู่ก็เป็นได้ ...

:: ชูมือขึ้นแล้วก็ขว้างมันออกไป ::



     วงการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เชื่อกันว่าโลกหมุนรอบตัวเอง โดยมีพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลางล้อมรอบด้วยเหล่าหมู่ดาวต่าง ๆ นับนับพันล้านดวงที่กำลังรอการค้นพบ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีหลายต่อหลายท่านยึดถือเอาตัวเองนั้นเป็นศูนย์กลางของจักวาลและเอกภพ ? โดยมีผู้อื่นและคนรอบข้างเป็นเพียงดาวเคราะห์น้อย กลุ่มเล็ก ๆ ไม่มีความสำคัญ เป็นได้เพียงแค่เศษฝุ่นผง ธุลีอากาศธาตุ ไม่มีความหมายใด ๆ ต่อเขาผู้นั้นเลย จึงเกิดเป็นการพิพากษาผู้อื่นด้วยสายตาเปล่าคู่หนึ่งของเขาเหล่านั้น จึงไม่ยุติธรรมนักสำหรับผู้ถูกกระทำ ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เขาไม่มีสิทธิแม้แต่จะหยิบยื่น ชี้นิ้ว บงการ ออกคำสั่งและชี้นำบุคคลอื่น ๆ และใครต่อใครทั้งหลายว่า

สิ่งนี้ผิด สิ่งนี้ถูก !
สิ่งนี้ควร สิ่งนั้นไม่ควร !
เรื่องนั้นได้
เรื่องนั้นห้ามกระทำ !
     จึงเกิดคำถามขึ้นบ่อยครั้งว่าต้องเป็นคุณเพียงคนเดียวใช่หรือไม่ ? ที่จะสามารถกระทำเช่นนั้น เช่นนี้ได้ และต้องเป็นคุณเพียงคนเดียวเท่านั้นหรือที่สามารถกระทำสิ่งต่าง ๆ อาทิ แสดงความคิดเห็น ออกคำสั่ง บังคับใช้ วิพากษ์วิจารณ์ ติชม แล้วเรียกสิ่งนั้นว่า "ความถูกต้อง"

:: ระเบิดเวลานับถอยหลัง ::


กิดคำถามขึ้นภายในใจตลอดเวลาว่า
อันแท้จริงแล้ว ... เรานั้นสามารถอยู่ได้โดยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก
ที่คอยตอบสนองความสะดวกสบายในการดำรงชีวิตได้นานสักเท่าไหร่ 
เป็นต้นว่า ...
  • เราอดทนต่อสภาพอากาศร้อนโดยไม่มีเครื่องปรับอากาศ เครื่องทำความเย็น หรือพัดลมสักตัวนึงได้นานสักเท่าไหร่
  • เราอดทนต่อความหิวโหยหากปราศจากอาหารในแต่ละมื้อของวัน ๆ หนึ่ง ได้นานสักกี่มากน้อย
  • เราอดทนต่อการขาดน้ำดื่มสะอาดเพื่อการบริโภคได้นานเพียงไร !
  • เี่ราอดทนต่อความมืดมิดภายใต้การไร้ซึ่งแสงสว่างได้นานสักแค่ไหน !
ไปจนถึงความอดทนต่อสิ่งเร้ารอบข้างอันกระทบเข้ามาอยู่เสมอ ๆ เช่น คำวิพากษ์วิจารณ์ เสียงตะโกนด่าทอ คำสรรเสริญเยินยอ คำกล่าวนินทา ว่าร้าย ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ล้วนเป็นบททดสอบความทรหด อดทน และเกิดเป็นคำถามให้ขบคิดต่อไปอีกว่า 

ความอดทนของเราท่านแต่ละคนนั้นมีสักเท่าไหร่กัน ?
มากน้อยสักเพียงไหน ?
ขึ้นอยู่กับช่วงระยะเวลา สถานที่ สภาวะอารมณ์ 
และจุดดันจุดเดือดของแต่ละบุคคลนั้น ๆ ด้วยหรือไม่ ? 

เป็นเรื่องน่าจบคิดเล่น ๆ ดูว่า หากเป็นจริงดังนี้ ทั้งหมดทั้งมวลที่ได้กล่าวมามิได้ต้องการให้ผู้่หนึ่ง ผู้ใดสละเว้นเสียจากความสะดวกสบาย หรูหราของชีวิตอันทันสมัยของท่านแต่อย่างใด หากแต่เพียงต้องการถามต่อไปยังท่านทั้งหลายว่า ท่านจะเผชิญสภาพการณ์บีบบังคับ เหนือการควบคุม ไม่เป็นไปตามอย่างใจของท่านทั้งอิทธิพลและปัจจัยที่มาจากภายนอกตัวท่านได้นานสักแค่ไหน และประเด็นสำคัญ คือ ท่านนิ่งสงบแค่ไหน ! ในสถานการณ์ที่เกิดความท้าทายที่สุดเช่นนี้

:: บทเพลงที่หายไป ::


ดำนินชีวิตเพียงสิ้นสุดลงในแต่ละวัน 
พักกายเอนหลังอิงพิงเงาขณะหลับใหล ณ ห้วงยามวิกาล
และตื่นขึ้นเพื่อเผชิญรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด...
อันจะเกิดขึ้นในเช้าพรุ่งของรุ่งวันใหม่
ไม่แน่ว่าทั้งเกิดจากบุคคลหนึ่ง บุคคลใด ก็ตาม
ประหนึ่งการเข้าหักหาญ ต่อสู้ ฟาดฟัน
อาจจะด้วยการกระทำ คำพูด
กระแทกกระทั้น เสียดแทง 
รุกไล่ ไสส่ง
พ ล ะ ก ำ ลั ง แ ร ง ก า ย ที่ มี จ ะ ต้ า น ท า น ไ ห ว ไ ด้ น า น สั ก เ พี ย ง ใ ด เ ล่ า . . . 
ห น สุ ด ท้ า ย . . . 
 ก า ร ต่ อ สู้ ย่ อ ม ต้ อ ง ทิ้ ง ค ร า บ เ ลื อ ด แ ล ะ ค ว า ม เ จ็ บ ป ว ด 
 แ ต่ ภ า ย ใ น ใ จ ก ลั บ ทิ้ ง ร่ อ ง ร อ ย บ า ด แ ผ ล ฉ ก ร ร จ์ ทั้ ง เ ก่ า แ ล ะ ใ ห ม่ 
 ฝ า ก ไ ว้ เ ป็ น ร อ ย แ ผ ล เ ป็ น ข อ ง อ ดี ต ต ร า บ นิ จ นิ รั น ด ร์ . . . 



:: ข้าพเจ้ามิใช่นักสร้างวิมานบนอากาศ ::


ประสบการณ์   ข้าพเจ้าเลี่ยงที่จะใช้คำ ๆ นี้ 
แต่อยากจะเรียกว่าเป็น ความชำนาญ
มันจะเป็นผู้เลือกทางแก่ตัวท่านเอง
ว่าอะไรควรถอด อะไรควรใส่
อะไรควรเข้า อะไรควรออก
อะไรควรเก็บ อะไรควรทิ้ง
และอะไรที่ควรจดจำเพื่อใช้เป็นประโยชน์  [...]